📌 จุดเริ่มต้นของแนวคิด “แอปเรียกรถ” เจ้าแรก

Uber ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดย Travis Kalanick และ Garrett Camp ที่ซานฟรานซิสโก สาเหตุหลักเกิดจาก ปัญหาการหารถแท็กซี่ยาก โดยเฉพาะช่วงเวลาดึกหรือฝนตก
💡 จุดเปลี่ยนสำคัญ:
- ไอเดียเกิดขึ้นในปารีส เมื่อ Camp และ Kalanick เจอปัญหาหาแท็กซี่ยาก
- คิดว่า “ถ้ามีแอปที่สามารถเรียกรถจากมือถือได้ง่ายๆ จะดีแค่ไหน?”
- เริ่มต้นด้วยบริการ “UberCab” ก่อนเปลี่ยนเป็น “Uber”
📌 กลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ Uber เติบโตเร็ว
Uber ไม่ได้แค่สร้างแอปเรียกรถ แต่ ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ล้ำสมัย เพื่อสร้าง Demand และ Supply ไปพร้อมกัน

🚀 1. กลยุทธ์แบบ 2-Sided Marketplace (สร้างดีมานด์และซัพพลายพร้อมกัน)
📌 ปัญหา:
- ถ้ามีคนเรียกรถแต่ไม่มีคนขับ → ลูกค้าไม่ใช้
- ถ้ามีคนขับแต่ไม่มีคนเรียก → คนขับไม่อยากสมัคร
💡 แนวทางแก้ไขของ Uber:
- ให้โบนัสคนขับช่วงแรก: Uber แจกเงินให้คนขับใหม่เป็น “แรงจูงใจ”
- โปรโมชันฟรีให้ผู้ใช้ใหม่: แจกโค้ดนั่งฟรีเพื่อให้มีลูกค้าเข้ามา
🎯 ผลลัพธ์: คนเริ่มใช้ → คนขับเริ่มเยอะ → ระบบเติบโต
🔥 2. การใช้ Referral Program (แจกเงินให้ลูกค้าช่วยหาลูกค้าใหม่)
📌 หลักการ:
Uber ใช้กลยุทธ์ “แนะนำเพื่อนได้เงิน/ได้นั่งฟรี” ซึ่งเป็น Growth Hack ชั้นดี
💡 ตัวอย่าง:
- เชิญเพื่อนมาสมัคร รับเครดิตนั่งฟรี 150 บาท
- คนที่สมัครใหม่ ก็ได้นั่งฟรี
- คนชวนเยอะก็ได้โบนัสเพิ่ม
🎯 ผลลัพธ์: Uber ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพง แต่ขยายฐานลูกค้าได้ไวมาก
📍 3. ใช้กลยุทธ์ Localized Marketing (ปรับแผนให้เข้ากับแต่ละเมือง)
📌 Uber รู้ว่าตลาดแต่ละที่ไม่เหมือนกัน
- เมืองไหนแท็กซี่แพง → Uber ใช้ราคาถูกกว่าดึงลูกค้า
- เมืองไหนรถติด → โปรโมทว่ารวดเร็วกว่า
- เมืองไหนคนชอบหรู → เปิด Uber Black
💡 ตัวอย่าง:
Uber เข้าตลาดอินเดีย → ให้จ่ายเงินสดได้ (เพราะคนอินเดียไม่ชินกับการใช้บัตร)
🎯 ผลลัพธ์: ปรับตามพฤติกรรมคนแต่ละที่ ทำให้โตเร็วขึ้น
⏳ 4. ใช้ Surge Pricing (ราคาขึ้น-ลงตาม Demand & Supply)
📌 หลักการ: ถ้าคนเรียกรถเยอะ แต่มีรถน้อย → Uber ปรับราคาขึ้น (Surge Pricing)
- กระตุ้นให้คนขับออกมาวิ่งมากขึ้น
- เพิ่มรายได้คนขับ → Uber มีคนขับเยอะขึ้น
💡 ตัวอย่าง:
- วันปีใหม่/ฝนตก → ค่ารถอาจเพิ่ม 2-3 เท่า
- เช้าและเย็น (Rush Hour) → Uber ใช้ราคาสูงขึ้น
🎯 ผลลัพธ์: ทำให้ระบบมีความสมดุล รถพร้อมให้บริการตลอด
📢 5. Guerrilla Marketing (ตลาดแบบจู่โจม ใช้งบน้อยแต่ได้ผลเยอะ)
📌 Uber ใช้การตลาดแบบสร้างกระแส (Viral Marketing) เช่น:
- แจกไอศกรีมฟรีในเมืองใหญ่ (Uber Ice Cream)
- ให้คนดัง-อินฟลูเอนเซอร์ใช้แล้วโพสต์รีวิว
- ทำแคมเปญ “Uber Kittens” แจกแมวน่ารักให้ลูกค้ากอดเล่น (สร้างกระแสบนโซเชียล)
🎯 ผลลัพธ์: คนพูดถึงเยอะ ทำให้คนอยากลองใช้
💡 6. ปรับตัวตลอดเวลา (Pivoting & Expansion)
📌 Uber ไม่ได้หยุดแค่การเรียกรถ แต่ขยายไปบริการใหม่ๆ
- UberX → รถราคาถูกกว่าปกติ
- UberPool → แชร์รถกับคนอื่น ลดราคาลง
- UberEats → ขยายไปส่งอาหาร
🎯 ผลลัพธ์: ขยายรายได้จากแค่แท็กซี่ไปสู่หลายธุรกิจ
🚀 สรุป: ทำไม Uber ถึงโตเร็วและครองตลาด?
✅ ใช้ Referral Program ให้ลูกค้าหาเพื่อนมาใช้เอง
✅ ใช้ Surge Pricing กระตุ้นให้คนขับออกมาเยอะขึ้น
✅ ใช้ Localized Marketing ปรับกลยุทธ์ตามเมืองที่เข้าไป
✅ ใช้ Viral Marketing ให้คนพูดถึง Uber บนโซเชียล
✅ ขยายธุรกิจตลอด (UberX, UberPool, UberEats ฯลฯ)
💡 Uber คือกรณีศึกษาการตลาดระดับโลก ที่เริ่มจาก “แอปเรียกรถ” แต่ขยายไปครองหลายอุตสาหกรรม!
📌 เส้นทางของ Uber ในไทย
✅ 2014 – Uber เปิดตัวในกรุงเทพฯ
- ให้บริการครั้งแรกด้วย UberBlack (รถหรูระดับพรีเมียม)
- ต่อมาขยายเป็น UberX (รถยนต์ส่วนตัวราคาถูกกว่า)
✅ 2015 – Uber ขยายบริการไปต่างจังหวัด
- เปิดให้บริการใน เชียงใหม่ และเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
✅ 2016 – UberMOTO เปิดตัว
- ทดลองให้บริการ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แข่งกับ GrabBike
- แต่เจอแรงกดดันจากกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์
✅ 2017 – UberEats เปิดตัวในไทย
- บุกตลาดส่งอาหาร แข่งกับ LINE MAN และ Foodpanda
✅ 2018 – Uber ถอนตัวจากไทย
- Uber ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ Grab
- Grab กลายเป็นเจ้าตลาดแทน Uber
📌 สรุป: Uber อยู่ในไทยกี่ปี?
Uber ให้บริการในไทยเป็นเวลา 4 ปี (2014 – 2018) ก่อนขายกิจการให้ Grab
🚖 วิธีเรียกใช้บริการ Uber
การเรียก Uber ใช้หลักการ “On-Demand Ride-Hailing” หรือ เรียกรถผ่านแอปแบบเรียลไทม์ โดยใช้สมาร์ทโฟนและ GPS
📌 วิธีเรียก Uber แบบพื้นฐาน
1️⃣ ดาวน์โหลดแอป Uber
- ใช้ได้ทั้งบน iOS (App Store) และ Android (Google Play)
2️⃣ ลงทะเบียนและเพิ่มวิธีชำระเงิน
- สมัครบัญชี Uber ด้วย เบอร์โทรศัพท์ / อีเมล
- เพิ่ม บัตรเครดิต/เดบิต หรือเงินสด (ขึ้นอยู่กับประเทศ)
3️⃣ เลือกจุดรับและจุดหมายปลายทาง
- ใช้ GPS ระบุตำแหน่งปัจจุบัน
- พิมพ์ที่อยู่หรือสถานที่ปลายทางที่ต้องการไป
4️⃣ เลือกประเภทของรถ
- Uber มีหลายประเภท เช่น
- UberX – ราคาประหยัด
- UberBlack – รถหรู
- UberXL – รองรับผู้โดยสาร 6 คนขึ้นไป
5️⃣ กดยืนยันการเดินทาง
- ระบบจับคู่กับคนขับที่ใกล้ที่สุด
- แสดงข้อมูลคนขับ (ชื่อ, รุ่นรถ, ทะเบียน)
6️⃣ ติดตามรถแบบเรียลไทม์
- ดูว่า คนขับกำลังเดินทางมา อยู่ที่ไหน
7️⃣ ถึงจุดหมาย & ชำระเงิน
- ระบบตัดเงินอัตโนมัติ (ถ้าใช้บัตร)
- หรือจ่ายเงินสด (ในบางประเทศ)
8️⃣ ให้คะแนนและรีวิวคนขับ
- ช่วยรักษามาตรฐานบริการ
💡 ฟีเจอร์พิเศษที่ Uber ใช้
✅ Split Fare – แชร์ค่าโดยสารกับเพื่อนในแอป
✅ Ride Scheduling – จองล่วงหน้าได้
✅ Share Your Trip – แชร์เส้นทางให้เพื่อนหรือครอบครัวดู
📌 สรุป
Uber ใช้วิธี “แอปพลิเคชันเรียกรถผ่าน GPS” โดยให้ผู้ใช้เลือกจุดหมาย, ประเภทรถ, และชำระเงินผ่านแอปได้ง่ายๆ
🚖 แล้วทำไม Uber ถึงเลิกกิจการในไทย?
Uber เข้ามาในไทยปี 2014 และเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายต้อง ถอนตัวจากตลาดไทยในปี 2018 โดยขายกิจการให้ Grab ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักในภูมิภาคอาเซียน
🔍 สาเหตุหลักที่ทำให้ Uber ไม่สามารถอยู่รอดในไทย:
1️⃣ การแข่งขันที่รุนแรงจาก Grab
💥 Grab แข็งแกร่งกว่า Uber ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- มีทุนสนับสนุนจาก SoftBank ซึ่งเป็นผู้ลงทุนหลัก
- มีบริการที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น GrabBike, GrabExpress (ส่งของ) และ GrabFood
- ปรับตัวให้เข้ากับตลาดไทยได้ดีกว่า (รองรับการจ่ายเงินสดก่อน Uber)
- ใช้กลยุทธ์ Burn Money (แจกส่วนลดหนักกว่า Uber) เพื่อแย่งลูกค้าและคนขับ
🎯 ผลลัพธ์:
Uber เสียเปรียบในการแข่งขัน และเริ่มขาดทุนหนัก
2️⃣ ปัญหาด้านกฎหมายและการถูกต่อต้านจากแท็กซี่
🚨 Uber ถูกมองว่าเป็น “บริการผิดกฎหมาย” ในช่วงแรก
- คนขับ Uber ถูกตำรวจจับปรับเพราะไม่ได้ลงทะเบียนเป็นแท็กซี่
- มีแรงกดดันจากสมาคมแท็กซี่ที่ต้องการให้รัฐบาลควบคุม Uber
- รัฐบาลไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับรถโดยสารแบบแชร์ (Ridesharing) ในช่วงแรก
💡 ในขณะที่ Grab แก้ปัญหานี้ได้ดีกว่าโดย:
- สร้างความร่วมมือกับแท็กซี่ไทย (เปิดบริการ GrabTaxi)
- เจรจากับรัฐบาลให้รับรองการให้บริการ
🎯 ผลลัพธ์: Uber ถูกจำกัดการขยายตัวเพราะติดข้อกฎหมาย
3️⃣ นโยบายถอนตัวจากตลาดที่ขาดทุนของ Uber
🚀 Uber ใช้กลยุทธ์ “Exit to Survive” โดยเลือก ขายกิจการให้คู่แข่งแทนการสู้ต่อ
- Uber ขาดทุนหนักในหลายประเทศแถบเอเชีย
- บริษัทต้องการเน้นกำไร มากกว่าการแข่งขันแบบเผาเงิน
- สุดท้าย Uber ตัดสินใจ ขายกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ Grab ในปี 2018
- Uber ได้หุ้น 27.5% ใน Grab และถอนตัวจากตลาดไทยและอาเซียน
🎯 ผลลัพธ์:
Uber ไม่ต้องเผาเงินแข่งอีกต่อไป และยังได้ส่วนแบ่งใน Grab
📌 สรุป: 3 เหตุผลหลักที่ Uber เลิกกิจการในไทย
✅ แพ้การแข่งขันกับ Grab ที่มีเงินทุนและกลยุทธ์ที่เหมาะกับตลาดไทยมากกว่า
✅ ติดปัญหากฎหมายและแรงต่อต้านจากแท็กซี่ ทำให้ขยายบริการได้ยาก
✅ นโยบายถอนตัวจากตลาดที่ขาดทุนของ Uber และเปลี่ยนมาเป็นการถือหุ้น Grab แทน
🔥 Uber ไม่ได้ล้มเหลว แต่ใช้กลยุทธ์ “ถอยเพื่อรุก” โดยเปลี่ยนจากผู้เล่นเป็นผู้ถือหุ้นในคู่แข่ง!